ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

รู้จักเหว

๑๑ ส.ค. ๒๕๖๒

รู้จักเหว

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “ทำความดีทิ้งเหว ลอยขึ้นมาเฉยเลย”

กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ ผมกราบขอบพระคุณในน้ำใจของหลวงพ่อมากๆ ครับ ที่ช่วยตอบคำถามที่หนึ่งในเรื่อง “ทิ้งแหวนเพชร” และช่วยตอบคำถามที่สองพร้อมด้วยแง่คิดกับตัวผมเพื่อปรับปรุงตัวเองต่อไปในเรื่อง “ยอมรับแล้วว่าผมผิด”

ในช่วงคืนวันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม ผมฝึกหัดทำความสงบของใจใหม่ หลังจากที่ทำผิดมาแล้ว โดยนั่งสมาธิกำหนดคำบริกรรมพุทโธๆ จิตเริ่มตั้งมั่น ไม่สงบถึงที่สุด ยังมีสติรับรู้ชัดถึงคำบริกรรมพุทโธๆ อย่างต่อเนื่อง สักพักหยุดคำบริกรรมพุทโธๆ เพราะมีคำว่า ทำความดีทิ้งเหว” ลอยขึ้นมาเฉยเลย

ฟังดูขี้โม้ๆ เอามากๆ แปลกใจ เลยจับคำดังกล่าวมาพิจารณาดู พบว่า ความดีคือคุณความดี ความดีความชอบ คุณงามความดี ความดีงามเกิดจากการกระทำที่เป็นกรรมดี ผลที่ได้รับบุญกุศล ตัวเราให้ค่าความดีเป็นบวก เป็นสิ่งที่สูงส่ง เป็นสิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญเชิดชูบูชา ตัวเราถูกสอนมาว่า ความดีต้องอยู่เหนือความชั่ว ความดีต้องชนะความชั่วมาโดยตลอด ไม่เคยถูกสอนว่าความดีเสมอกับความชั่วเลยสักครั้ง ความดีเป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับโลก เหมือนความดีที่อยู่คู่กับจิตใจของเรา การทำความดีทิ้งเหวจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ยากอย่างไร

การทำความดีสำหรับผมเอง ผมต้องฝึก ต้องบังคับ ต้องกด ต้องข่ม ต้องยอม ต้องอดทน มีคำว่า ต้องๆ” และการบังคับมากมายเต็มไปหมด

ทิ้งเหวคือการกระทำที่ทำแล้วไม่คิดว่าเราจะได้ผลตอบแทนกลับคืนมา ทำไปเถอะ ถมเหวถมเท่าไรก็ไม่เต็มเหว เหวบางทีก็ลึกมาก ขนาดของที่ทิ้งลงไปยังไม่ได้ยินเสียงสะท้อนกลับขึ้นมาเลย มันยากนะที่จะทำใจให้ยอมรับกับคำว่าทำความดีทิ้งเหว” เพราะว่าความดีก็ยากอยู่แล้ว อย่างไรจิตใจก็อยากได้อยากสัมผัสถึงผลของความดีอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นผลของความดีในรูปแบบไหน มากน้อยอย่างไร ให้หัวใจดวงนี้ชุ่มชื่นขึ้นได้บ้าง

เอ๊ะ! ความดีที่ว่านี้มันดีอย่างไรหนอ เริ่มรู้สึกได้ว่าความดีมันเต็มไปด้วยความยึดมั่นตลอดเวลาเลยนี่ แถมยังมีการอยากรักษาความดีเอาไว้ด้วย และยังอยากได้ความดีมาเพิ่มอีกๆ กว่าเดิม ต้องทำความดีเพิ่มขึ้นอีก เหมือนยังไม่หนำใจ

แล้วความชั่วล่ะ ความชั่วนี่ไม่อยากได้เลยนะ อยากอยู่ห่างๆ ไกลๆ ไม่เอาเข้ามาใกล้ ไม่เอา กลัวว่าถ้ามีความชั่วเข้ามา ความดีที่ได้มาจะแปดเปื้อนหม่นหมองไป ซึ่งก็เป็นความจริงอยู่อย่างนั้น จิตใจภายในก็ยอมรับเช่นนั้น

ทำความสงบของใจใหม่อีกครั้ง กำหนดคำบริกรรมพุทโธๆๆ ค่อยๆ รับรู้ถึงความสงบเย็น แต่ยังมีสติรับรู้ชัดถึงคำบริกรรมพุทโธๆ อย่างต่อเนื่อง ต่อไปสักพักใหญ่ก็ต้องหยุด หยุดคำบริกรรมพุทโธๆ อีก มีคำว่า ทำความดีทิ้งเหวลอย” ขึ้นมากระทบอีกครั้ง จึงลองพิจารณาดูย้อนใหม่อีก ผลที่ได้เป็นดังนี้ครับ

๑. การทำความดีล้วนเกิดขึ้นจากจิตใจของเราเอง ร่วมกับเหตุและปัจจัยทั้งภายในภายนอกที่เกื้อกูลให้กับผู้กระทำ และรับผลจากความดี

๒. ความดี–ความชั่วเป็นสิ่งตรงข้ามกัน เกิดจากการเปรียบเทียบและแบ่งแยกจากจิตใจของเราเอง

๓. เป็นธรรมดาทั่วไปที่ทำดีแล้วต้องได้ดี แต่การให้คุณค่าในผลของความดีมากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว ทั้งหมดล้วนเกิดจากจิตใจของเราเอง

๔. ความดีทั้งหมดที่เราทำ มีจิตใจของเราเป็นต้นเหตุ ล้วนเกิดจากจิตใจของเราทั้งหมดทั้งสิ้น

๕. ถ้าจิตใจของเรามีความอยากในการทำความดีทุกๆ ครั้งเป็นสิ่งที่ดี ควรกระทำอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราคาดหวังในผลของความดีตลอดทุกครั้งที่ทำ จะเป็นผลทำให้เรามองไม่เห็นความดีในสภาพตามความเป็นจริง

๖. ความดีในสภาพตามความเป็นจริงที่ได้จากการพิจารณาคือ ความดีเป็นเรา เพราะความดีเกิดจากจิตใจและร่างกายของเรา แต่ความดีเป็นทุกข์ทันที ถ้าเราอยากได้ในผลของความดี และทุกข์จะเพิ่มขึ้นๆ อีก แต่ถ้าเราไปยึดในผลของความดี สุดท้ายผลของความดีต้องตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์เสมอ

สรุป การทำความดีทิ้งเหวคือการทำความดีที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เลย เป็นผลจากการแสดงออกของจิตใจและร่างกายที่อยู่เหนือความดี มีความเป็นอิสระจากความดีโดยแท้จริง ด้วยการมองเห็นความดีตามสภาพความเป็นจริง ไม่โยงยึด ไม่คาดหวังกับสองสิ่งคือ

๑. ไม่ยึดในการกระทำความดีนั้นว่า ความดีนั้นทำยากหรือทำดีนั้นทำง่าย แต่กลับมีความอยากความมุ่งมั่นที่จะทำความดีนั้นต่อไปๆ

๒. ไม่คาดหวังทวงถามถึงผลตอบแทนของความดีว่าจะได้อะไรกลับมาเป็นผลตอบแทน

สุดท้ายนี้ตัวผมระลึกได้ว่า ประโยค “ทำความดีทิ้งเหว” ได้เคยรับฟังมาจากหลวงพ่อซึ่งมักใช้ประโยคนี้อยู่บ่อยๆ ในการเทศนาธรรมเกือบทุกๆ วันพระช่วงเช้า

ผลที่ได้จากการพิจารณาผิดพลาดประการใด กราบหลวงพ่อช่วยชี้แนะและแสดงธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยครับ

ตอบ : อันนี้เป็นคำถามเนาะ คำถามนี้มันเกือบจะเหมือนวิทยานิพนธ์เลย แล้วต่อไปนะ ถ้าภาวนาไปแล้วถ้ามีสิ่งใดที่มันติดขัดขัดข้องแล้วค่อยเขียนมาถามกันใหม่ แต่คำถามนี้นะเขียนมาบ่อยๆ มันทำให้เราไม่ได้ภาวนาด้วยตนเอง

ให้ภาวนาด้วยตนเองไง สิ่งที่ภาวนาด้วยตนเอง โดยธรรมชาติ ธรรมชาติของมนุษย์ ที่ว่า โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา โลกียปัญญาคือปัญญาของโลกๆ คนจะมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหนมันก็คิดได้ตามปัญญาของตน

ถ้าปัญญาของตนนะ ถ้ามีสติปัญญาดีมันก็คิดแต่เรื่องดีงาม พอคิดแต่เรื่องดีงามก็ขนลุก ขนลุกเลยนะ พอคิดเรื่องดีๆ “โอ๋ย! นี่เป็นธรรมๆ” ไม่ใช่หรอก โลกียะล้วนๆ โลกียะล้วนๆ

พิสูจน์ พิสูจน์ด้วยการนะ พวกโยมกลับไปบ้านนะ แล้วฝึกหัดหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วดูสภาพของจิตใจที่มันเปลี่ยนไป

สภาพของจิตใจมันไม่เปลี่ยนไปหรอก ใหม่ๆ มันไม่เปลี่ยนไป แล้วมันต่อต้านด้วย โดยธรรมชาติของกิเลสมันต่อต้าน เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันจะบอกว่า “มึงจะทำทำไม อยู่ก็สบายอยู่แล้ว เงินทองก็มี ยศถาบรรดาศักดิ์ก็เยอะ ตำแหน่งหน้าที่มีพร้อม ลูกสมุนบริวารเยอะแยะ ไปทำทำไม ทำทำไม”...เอ็งตายหมดน่ะ เวลากิเลสมันต่อต้าน กิเลสมันบิดเบือน มันบิดเบือนอย่างนี้

เราบอกว่า เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วดูความเปลี่ยนแปลง ดูความเปลี่ยนแปลงของหัวใจของเรา ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนะ โดยข้อเท็จจริง โดยสัจจะความจริง มุมมอง ทัศนคติเปลี่ยนหมดเลย ถ้ามุมมอง ทัศนคติเปลี่ยนที่ดีขึ้น นั้นมันเกิดจากจิตใต้สำนึก มันเกิดจากหัวใจที่แท้จริงของเรา

แต่ในปัจจุบันนี้เราคิดโดยอวิชชา คิดโดยความไม่รู้ แต่เพราะมีศรัทธา ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สอนเรื่องเหนือวัฏฏะ สอนเรื่องที่มหัศจรรย์ มหัศจรรย์มากจนเป็นเรื่องเรียบง่าย มหัศจรรย์มากจนตรวจสอบจากภายนอกไม่มี มหัศจรรย์มากจากหัวใจของเราเอง

ทุกคนมีความลังเลสงสัย ทุกคนอยากรู้ว่าเราเกิดมาจากอะไร ทุกคนอยากรู้ว่าตายแล้วเราจะไปไหน ทุกคนอยากรู้ว่าเราเกิดมานี่มีบาปมีกรรมมากน้อยแค่ไหน มันสงสัยไปหมดน่ะ

ธรรมะแก้ตรงนี้ ไม่ได้แก้ที่เรื่องอื่นเลย แก้ที่ตรงนี้ แก้ที่ความสงสัยในใจของคนคนนั้น

นี่ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านไปไหนท่านไปเอาใจของคน เอาใจของคน เอาใจของคนให้มันหายความสงสัยในชีวิต ให้มันหายสงสัยในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ สอนที่เราไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ตรงข้ามกับโลกที่เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้

พระพุทธศาสนาสอนถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ไม่เกิด ไม่เกิด เรื่องตายไม่ต้องพูดถึง ไม่เกิดคือไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกเลย ไม่เกิด จะไม่มีอะไรตามมาอีกเลย ไม่มีอวิชชา ไม่มีกิเลสมันก็ไม่เกิด ถ้าไม่เกิดแล้วมันจะไม่มีอะไรตามมา แต่ถ้ามันเกิดนะ พร้อมเลย เกิดแล้วก็แก่ แล้วมันก็ต้องเจ็บ แล้วมันก็ต้องตาย นี่ไง นี่พระพุทธศาสนานะ

นี่จะบอกว่า โดยทั่วไปโลกที่เป็นปัจจุบันนี้เวลาไปวัดไปวาเพราะอะไร เพราะวิทยาศาสตร์มันเจริญ ทุกคนก็บอกว่า โอ้โฮ! ปัญญาชนรู้หมด พระไตรปิฎกท่องได้หมด ๙ ประโยค ดูสิ สังฆราชสา ๑๘ ประโยค สอบ ๙ ประโยคสองรอบ ๑๘ ประโยคด้วย

ศึกษาก็ศึกษาวิชาการที่เราเรียนกันอยู่นี่ไง เรียนวิชาการแต่กูอยู่นี่ กูรู้ กูเก่ง กูแน่ กูอยู่หลังวิชาการ กูเป็นเจ้าของ กูเป็นนักปราชญ์ มันไม่เคยเห็นตัวมันเองเลย จะเรียนมากเรียนน้อย ปฏิบัติมากน้อยขนาดไหนเหมือนกันหมด โลกียะทั้งหมด ไอ้ที่ว่า อันนี้เป็นโลกียะ อันนู้นเป็นโลกุตตระ...ไร้สาระ

ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

ผู้ถามเขาเขียนมาถามทีแรกบอกว่า เขาแอบฟังเว็บไซต์เรามา ๕ ปี แล้วเขาปฏิบัติเก่งมาก เขาถึงชมเราไง เขาบอกว่าเขาทิ้งแหวนเพชรวงเดียวไม่ได้ แต่หลวงพ่อมีสิบวง โอ๋ย! กูตกใจเลย เห็นไหม เขามองในทางโลกไง บอกว่า ผู้ที่ปฏิบัติแล้วจะมีแหวนเพชร จะมีทรัพย์

แต่ความจริงไม่ใช่ ทิ้งๆๆ สละทั้งหมด ถ้ามีแหวนเพชรที่ไหน มีตัวตนที่นั่น ถ้ามีแหวนเพชรที่ไหน มีมานะทิฏฐิที่นั่น มีแหวนเพชรที่ไหน เพราะมันหวงไง มันกลัวแหวนเพชรมันหาย มันต้องย่ำคนอื่นเต็มที่ แล้วพอถึงที่สุดแล้วเขาทิ้งหมดน่ะ

นี่พูดถึงว่า เราจะบอกว่า ผู้ถามเขาบอกว่าเขาแอบฟังเว็บไซต์มา ๕ ปี แล้วเขาปฏิบัติมา ๕ ปี แล้วเขาว่าเขายอดเยี่ยม เขามีแหวนเพชรนะ แหม! จะทิ้ง ทิ้งแสนยากเลย แล้วเขาบอกว่าหลวงพ่อมีสิบวงแน่ะ

เราบอกว่า ไม่ใช่ ไม่มีหรอก กูไม่มีสักวง ถ้ากูมีนะ กูจะต้องไปเฝ้าแหวนเพชรกู กูจะไม่รับแขกเลย เพราะกูกลัวแหวนเพชรกูหาย กูจะไปเฝ้าแหวนเพชรกูอยู่นู่น กูไม่มารับแขกหรอก

นี่เขาทิ้งหมดแล้ว แล้วพอเราบอกว่าให้เขากลับมาพิจารณาใหม่ เขาถึงมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธไง เขาถึงมีคำบริกรรมพุทโธไง พอเขามีคำบริกรรมพุทโธปั๊บ มุมมอง ทัศนคติเขาเปลี่ยนหมดเลย

ถ้าจิตมันสงบ จิตมันเป็นสมาธิ เห็นไหม จิตสงบแล้ว จิตเป็นสมาธิแล้ว ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา จิตเห็นอาการของจิต อันนี้ต่างหากถึงจะเป็นโลกุตตรธรรม

โลกุตตระ หมายความว่า บุคคลคนนั้น จิตดวงนั้นเห็นจิตของตน แล้ววิปัสสนา การใช้ภาวนามยปัญญาคือปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในจิตของตน รู้แจ้งแทงตลอดในอวิชชาในใจของตน นั้นถึงจะเป็นโลกุตตระ เพราะมันเหนือโลก

ฉะนั้นบอกว่า ไอ้พุทโธๆ ที่คนเขาเหยียดหยาม เขาหมิ่นแคลน เขาดูถูกว่าโง่ว่าเง่า ว่าอยู่ป่าอยู่เขาหลับหูหลับตา มันจะรู้อะไรของมันนะ

แต่ถ้าใครฝึกหัดนะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนะ มุมมอง ทัศนคติจะเปลี่ยน ถ้าเป็นจริงนะ เว้นไว้แต่มันเป็นไม่จริง มันเป็นไม่จริงตรงที่ว่า พุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ให้ทำอะไรก็ทำได้ ให้ไปฆ่าใครยังทำได้หมดเลย แต่ถ้ามาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธทำไม่ได้

ทำงานนะ โอ้โฮ! อาบเหงื่อต่างน้ำ สั่งการนะ รถบริษัทบริหาร รถเข้าสิบคันร้อยคันอู๋ย! บริหารได้หมดเลย แต่พอมานั่งหายใจพุทโธทำไม่ได้ ทำไม่ได้ แพ้ตัวเองตลอด

การหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าทำได้ นี้คือการชนะตัวเอง ชนะความคิดของตน แล้วถ้ามันปล่อยวางความคิดของตนจนเป็นอิสระ นั้นจะเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือธาตุรู้ ผู้รู้ที่ไม่พาดพิงอารมณ์

ฟังให้ดี ไม่พาดพิงอารมณ์

แต่ผู้ที่ปฏิบัติเขาบอกว่า ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ นี่ใครบอกว่าว่าง นี้คือพาดพิงอารมณ์ว่าง แล้วเวลาเราศึกษากันมาแล้วว่าสมาธิเป็นความว่าง ธรรมะเป็นความว่าง เราก็สร้างอารมณ์ว่าเราคิดว่าว่างสิ ถ้าคิดไม่ได้ก็มองไปบนอากาศนั่นน่ะ อวกาศมันเวิ้งว้างๆ คิดไปสิ มันก็พาดพิงอารมณ์ว่างไง โกหกทั้งนั้น ไอ้ที่ว่างๆ ว่างๆ โกหกทั้งหมด

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันจะมีสติสัมปชัญญะรู้ในตัวของตนชัดเจน แล้วเวลามันคิด ทัศนคติเปลี่ยนไปหมดเลย

ครั้งที่แล้วพุทโธๆ ไปแล้วเขาเห็นคุณค่ามาก แล้วเขาก็เขียนมาบอกว่าเขาพยายามจะทำให้พุทโธหาย เราต่างหากเป็นผู้ที่ว่า หนึ่ง เขาบอกว่าเขาภาวนาผิดมา ๕ ปีแล้ว หลงผิดมา ๕ ปี ขอบคุณครั้งที่หนึ่ง ขอบคุณครั้งที่สอง ขอบคุณครั้งที่สาม

ขอบคุณนี้เพราะอะไร ขอบคุณเพราะว่าเขาได้ละทิฏฐิความเห็นผิดของเขา แล้วแค่เขามาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี้เท่านั้น แค่เขามาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี้เท่านั้น ทัศนคติ มุมมองเขาเห็นน่ะ พอมันเปลี่ยนไป

ครั้งที่แล้วเขาบอกว่า โอ๋ย! ขอบคุณมาก เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันมีทิฏฐิ มีมานะ มีการยกตัวของเขาเอง กดขี่คนอื่นว่า ข้าเป็นนักปราชญ์ ข้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเหนือคนอื่น เหยียบย่ำเขาไปทั่ว

ครั้งที่แล้วเขาเขียนมาอย่างนี้เลยว่า ความคิดเขาถือตัวถือตนว่า ข้านี้เป็นนักปราชญ์ ข้ายอดเยี่ยม ข่มเขาไปทั่ว ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเป็นกิเลสนะน่ะ ยังคิดว่านั่นเป็นธรรมะนะ กูกำลังจะแสดงธรรมนะ กูกำลังเมตตาพวกมึงนะ

แต่เวลาเขามาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เขาพูดเลย รู้สึกว่า เรายกตัวเองไปข่มคนอื่น เรายอมรับฟังความเห็นของคนอื่นไม่ได้ เพราะมันเกิดทิฏฐิมานะ แต่พอมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เห็นความผิดของตัว ว่า โอ้โฮ! เรานี่ทำไมหลงตัวเองได้ขนาดนั้น แล้วเขาบอกว่าจะพยายามทำให้ใจสงบโดยจะภาวนาจนพุทโธหาย

เราก็เลย...มันสะกิดใจ ก็เลยบอกไปว่า ให้ภาวนาทิ้งเหว ให้ภาวนาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ที่มาภาวนาฝั่งนู้นทั้งหมดส่วนใหญ่เราจะบอก อย่าคาดอย่าหวังว่าเราจะได้ ๕ ได้ ๑๐ อย่าคาด อย่าหวังว่าเราจะได้มรรคได้ผล แต่เราก็อยากได้จริงๆ นั่นแหละ แต่เราอย่าไปคาด อย่าหมาย อย่าไปหวัง แล้วเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาไปให้มันเป็นข้อเท็จจริงตามนั้น

แล้วที่เราบอกว่า “แล้วเรามาทำทำไม”

เราจะตั้งโจทย์ไว้ให้ว่า เรามาภาวนานี้เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อถวายบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาโยมมาทำบุญโยมต้องแสวงหาสิ่งที่เป็นวัตถุเป็นไทยทานมาทำบุญ เวลาเรานั่งสมาธิ เวลาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เรามันเป็นบุญกิริยาวัตถุ เราจะนั่ง เราจะนอน เราจะตีแปลง เราจะเปิดแอร์ห้าร้อยตัว เราจะนอนให้สุขสบายอย่างไรก็ได้ นั่นมันสิทธิของเรา เราเสียสละ เสียสละกิริยาของเราที่จะสะดวกที่จะสบาย ที่จะนอนตีแปลง ที่จะเที่ยวเล่น มานั่งทำความสงบ นี่บุญ บุญเกิดตรงที่เราเสียสละกิริยาความสะดวกสบายของเรา เราเสียสละสิ่งที่เราจะนอนสะดวกสบายแล้วเรามานั่งปฏิบัติ เราเอาร่างกายของเราและจิตใจของเรายกใส่พานบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

เราปฏิบัติเราพยายามนึกว่า เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อย่าไปคิดว่าเราแน่ เราเก่ง เรายอด เราเยี่ยม เราจะเป็นเทวดา จะบรรลุธรรมพรุ่งนี้แล้ว...มึงภาวนาจนตายไม่ได้อะไรหรอก มึงภาวนาไปเถอะ ตายอยู่นั่นน่ะ กิเลสมันหลอกมึง

เราภาวนาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเราเดินจงกรมด้วยสติ ด้วยคำบริกรรม ด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันสมควรแก่เหตุ เรามีเงิน ๑๐๐ บาท เราจะใช้หนี้ตามกฎหมายได้ ๑๐๐ บาท เราปฏิบัติบูชาเหตุที่มันสมบูรณ์ ๑๐๐ เที่ยว ๑๐๐ คำบริกรรม ถ้ามันได้ผลถึงความสงบมา นั้นธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมาแต่เหตุที่เรากระทำนั้น ถ้าเหตุที่กระทำนั้นมันสมควรแก่เหตุ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ทำเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงามแล้วมันต้องได้ผลของมัน

แต่ที่เราทำ เราทำเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านไม่เห็นได้อะไรเลย โอ้โฮ! รู้อย่างนี้กูไม่ทำก็ดี รู้อย่างนี้กูเลิกทำตั้งแต่แรกแล้ว รู้อย่างนี้กูไม่มา รู้อย่างนี้กูไปเที่ยวสนุกกูดีกว่า เพราะอะไร เพราะอยาก คาดว่าจะได้

แต่ถ้าเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เราปฏิบัติจริงๆ เราทำจริงๆ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เรามีเงิน ๑๐๐ บาท ใช้หนี้ได้ตามกฎหมาย ๑๐๐ บาทแน่นอน เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธเป็นสัจจะเป็นความจริง มันต้องให้ผลถึงความสงบแน่นอน

แต่นี้ไม่ นี่ก็พุทโธหนึ่งแล้วนะ นี่ก็พุทโธสองแล้วนะ พุทโธมา ๕ วันแล้วนะยังไม่ได้เลย

แล้วส่วนใหญ่เยอะมาก วันศุกร์มาแล้ว ลางาน ไปคราวนี้ต้องสงบแน่ๆ เลย มาถึงนะ รุ่งขึ้นมาหาเราแล้ว “หลวงพ่อ เกือบตาย ไม่ได้อะไรเลย”

มันคาดมาตั้งแต่มันยังไม่มานู่นแน่ะ มันบอกมาคราวนี้ โอ๋ย! จิตกูต้องแน่วแน่ จิตกูต้องดีงาม แล้วไม่ได้อะไรเลย นี่กิเลสมันหลอก

เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อน แต่เวลาเราปฏิบัติไปแล้ว ปฏิบัติจนเรามีสติมีปัญญาแล้วนะ เราจะบังคับ เราจะดูแล สั่งได้หมด

หลวงตาท่านพูด สมาธินะ กำหนดเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น

หลวงตาตั้งใจเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น มันชำนาญไง เหมือนนายช่างใหญ่เขาเคยทำงานมาจนหลับตาทำได้ คนที่เขาหลับตาทำได้ เขาทำอะไรก็ทำได้ นายช่างรถเขาฟังเสียงเครื่องรู้เลยว่ารถอะไรเสีย เพราะเขาชำนาญของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราพิจารณา เราปฏิบัติของเราต่อเนื่องๆๆ พอจิตมันสงบแล้วนะ เดี๋ยวมันจะเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร

เสื่อมเพราะกิเลสในใจของเรามันเป็นเจ้าวัฏจักร มันไม่ยอมให้เราพ้นจากมันไปหรอก ถ้าวันไหนเราทำสมาธิได้นั้นแสดงว่ากิเลสมันเผลอ พูดอย่างนี้เลย จริงๆ กิเลสมันเผลอ พอกิเลสมันเผลอก็สงบทีหนึ่ง แล้วพอทีนี้กิเลสมันรู้ตัวแล้ว โอ้โฮ!

เราเผลอไปทีหนึ่งนะ หัวใจดวงนี้ได้สัมผัสธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ใจดวงนี้มันฝักใฝ่มันอยากได้แน่นอน มันก็ต้องพลิกแพลง พยายามพลิกแพลงทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน

กิเลสมันเผลอเท่านั้นน่ะ ที่เอ็งสงบๆ กันนั่นน่ะ กิเลสมันเผลอ พอมันตั้งตัวได้นะ มึงเดินจงกรมไปเลยอีกเดือนก็ไม่ลง

เราจะบอกว่า จิตมันเจริญแล้วเสื่อม แต่ถ้าผู้ชำนาญนะ มันเจริญแล้วเสื่อมเพราะอะไร สิ่งที่ทำแล้วมันไม่ลงนั่นน่ะมันเป็นบทเรียน พอมันมีบทเรียนบ่อยครั้งเข้าๆ มันเข็ดนะ พอมันเข็ดนะ วางหมดเลย เพราะกูคิดอย่างนี้ทุกข์ฉิบหายเลย ต่อไปไม่เอาแล้ว

บูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้า แล้วซัดเต็มที่เลย แล้วพอบูชาพระพุทธเจ้าไป มันจะดีบ้างไม่ดีบ้าง เราเห็นแล้ว มันจะดีบ้างไม่ดีบ้าง ดีนี้เพราะอะไร ไม่ดีเพราะอะไร ตั้งอารมณ์อย่างไร พุทโธละเอียดหรือไม่ละเอียด กินข้าวมากหรือน้อย กินข้าวมันมีแต่หมูหรือเปล่า หรือกินข้าวมีแต่ข้าวเปล่าๆ

กินข้าวก็มีผลกับการปฏิบัติ ถ้าพลังงานมันเหลือใช้ ตอนนี้เข้าฟิตเนสกันเต็มที่เลย ถ้าพระกินมันก็สะสม ใครกินไขมันมากมันก็สะสมมาก ใครกินไขมันน้อยมันก็สะสมน้อย การสะสมน้อย ธาตุขันธ์ไม่ทับจิต การที่สะสมมากธาตุขันธ์ทับจิต

ฉะนั้น พระปฏิบัติเขาถึงผอมแห้งแรงน้อยไง แต่เกร็งนะ เนื้อๆ ทั้งนั้น ไม่มีไขมัน เขาควบคุมอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะมีสติ เพราะมีสติ เพราะเห็นเหตุเห็นผล

เราจะไปทุกข์ไปยากไปเหนื่อยนะ อร่อยที่ลิ้น ภาวนาเกือบตาย มีสติสัมปชัญญะควบคุมลิ้น เออ! ภาวนาคล่องตัวขึ้น ดีขึ้น

เราจะบอกว่า ผู้ที่ชำนาญเขามีสติสัมปชัญญะควบคุมแม้แต่ความคิดนะ เฮ้ย! ไม่เอา ไม่คิด คิดอย่างนี้ไม่ได้ คิดแต่พระพุทธเจ้า ตรึกในธรรมะของพระพุทธเจ้า คิดถึงหลวงปู่มั่น

เขาจะคุมความคิดไม่ให้คิดออกนอกลู่นอกทางทั้งวันๆ เลย

หลวงตาบอกว่า วัวผูกไว้ สติสัมปชัญญะผูกจิตไว้ อย่าปล่อยไป

วัว อีสานเขาเลี้ยงวัวปล่อย เขาปล่อยในป่า ถึงเวลาแล้วเขาเอาเกลือไปหยอดให้มันมากิน แล้วถึงเวลาเขาจะไปจับมาใช้งาน เขาต้องไปหาในป่า

เราปล่อยให้มันคิดตามสบายเหมือนวัวปล่อย วัวนี้เราปล่อยตามสบายเลย โคถึก แล้วพอเวลากลางคืนนั่งจะพุทโธๆ จะไปจูงมันมาไง มึงหาเถอะ ไม่เจอหรอก

แต่ถ้าเราควบคุม คิดนู่นก็ไม่ได้ เราควบคุมดูแลไว้คือเราผูกไว้กับพุทโธ ผูกไว้กับสติ

คนที่ภาวนามันจะมีสเต็ปไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเป็นจริงนะ ประสบการณ์มันจะสอน กิเลสมันจะบีบบี้สีไฟ มันจะข่มเหงหัวใจของมึงจนกว่ามึงจะมีสติมีปัญญาแก้ไขมันมึงถึงจะรู้ มึงถึงจะเห็นคุณค่า แล้วมึงจะเห็นข้อวัตรปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นของเลิศ เป็นของที่ควรถนอมควรรักษา คนมันเห็นโทษมันถึงจะเห็นคุณ

ไอ้นี่มันไม่เห็นคุณไง “โอ้โฮ! อะไรก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งนั้นเลย” เพราะมันยังไม่เห็นโทษ มันก็ไม่รู้ว่าอะไรที่จะเป็นคุณกับมัน สิ่งที่เป็นคุณ มองเห็นว่าเป็นโทษ สิ่งที่เป็นโทษมันมองเห็นว่าเป็นคุณ

สิ่งที่เป็นโทษ ขี้เกียจขี้คร้าน กินอิ่มนอนอุ่นเหมือนหมู ทำอะไรความสะดวกสบาย มันว่าเป็นคุณนะน่ะ แต่มาภาวนาเถอะ หัวทิ่มบ่อ ไม่มีสิทธิ์หรอก

นี่พูดถึงพุทโธนะ เราเห็นคุณค่าของคำบริกรรม เราเห็นคุณค่าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

นักกีฬา นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายทุกอย่าง พื้นฐานของมันไง พื้นฐาน พื้นฐานของการประพฤติปฏิบัติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เป็นพุทธานุสติ เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ แล้วถ้ามันไม่มี นักกีฬาทุกชนิดไม่มีความฟิต แข่งไม่ได้ นักกีฬาทักษะดีมากเลย ไม่เคยซ้อมเลย ขึ้นไปก็แพ้

พุทโธๆๆ ดูแลหัวใจตลอด แล้วกรรมฐาน นักปฏิบัติพุทโธตลอด

นี่พุทโธ พูดถึงคำว่า พุทโธๆ” พุทโธนี้ยืนยัน

ใครมาหาเรานะ จะภาวนาสูงส่งทุกข์จนเข็ญใจอย่างไร “หลวงพ่อ แก้ที”

พุทโธๆ

พอพุทโธไปแล้วนะ จิตมันดี จิตมันสว่าง จิตมีพลังงานแล้ว คนนะ มีสติสัมปชัญญะมันจะรู้ถูกรู้ผิดหมด แค่จิตตั้งมั่นนี่รู้หมดเลยว่าเรานี่ดีหรือชั่ว แล้วควรทำอะไรต่อไป

ใครจะสูงส่งขนาดไหน พุทโธๆ

นี่ย้อนกลับมาคำบริกรรมพุทโธๆ คำว่า พุทโธ” เสร็จแล้วเขาบอกเลยนะ พอพุทโธไปแล้ว พอมันวางคำพุทโธ มันมีคำลอยขึ้นมาเลยนะบอกว่า “ให้ทำความดีทิ้งเหว” มันพูดขึ้นมาเฉยเลย แล้วเขาเขียนเองนะ ฟังดูเหมือนมันขี้โม้ๆ มันขึ้นมาได้อย่างไร

ธรรมมันเกิดนะ คนทุกคนมันใฝ่ดีทั้งนั้นน่ะ คนใฝ่ดี คนคิดดีไง แต่มันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาธรรมมันผุดไง “ทำความดีทิ้งเหว”

ทำความดีเป็นความดีไง คนทำความดีทิ้งเหว ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ตื้อนั่งสมาธิ ๗ วัน ๗ คืน หลวงตาพระมหาบัวท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขา ใครเห็นการเดินจงกรมไม่ได้ มันไม่ขลัง

ทำความดีของครูบาอาจารย์ท่านไปแอบทำในถ้ำ ในเขา ในป่าลึกๆ ไม่ให้ใครรู้ใครเห็นน่ะ เพราะถ้ามันรู้มันเห็นแล้วมันจะอีโก้ มันจะอยากมีความอหังการ ครูบาอาจารย์เราทำปิดทองก้นพระทั้งนั้นน่ะ นี่ทำดีทิ้งเหวๆ

โทษนะ มันเหมือนนิสัยเรา เวลาถ้าคนมาโดยมารยาทนะ เราก็เห็นดีเห็นงาม แต่ถ้ามาโดยมารยา อื้อหืม! ภาษาเรานะ มันจะด่าเขา มันจะหลุดเลยนะ ต้องกดไว้น่ะ เบื่อ เบื่อมาก เพราะอะไร

เพราะความดีก็คือความดี เอ็งทำความดีเอ็งได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ความดีของใครของคนนั้น เจตนาใครทำของคนคนนั้น ไม่ต้องมีมารยาสาไถย แล้วมารยาสาไถยนี่ โอ้โฮ! สะอิดสะเอียน

เพราะมันฝึกมาอย่างนี้ไง มันทิ้งเหวๆ ไม่ต้องการใดๆ ทั้งสิ้น ทำความดีทิ้งเหว แล้วเราเน้นย้ำตลอด ทำความดี ความดีเป็นของเราอยู่แล้ว แล้วทิ้งเหว เขาเรียกว่าปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ แล้วผู้รับรับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์–ความบริสุทธิ์มันมาถึงกัน อู้ฮู!

บุญที่ว่าทำนู่นได้บุญ...ไม่ใช่หรอก

ทำบุญทิ้งเหวได้บุญที่สุด ทำแล้วไม่ต้องการให้ใครรู้จัก ทำแล้วไม่ต้องให้ใครรับรู้ ทำแล้วไม่ต้องการใดๆ ทั้งสิ้น ผู้รับรับแล้วเป็นประโยชน์ จบ เป็นประโยชน์นะ แล้วไม่ให้เสียหายแม้แต่เม็ดหินเม็ดทราย เพราะอะไร

อยู่กับครูบาอาจารย์มานะ สิ่งที่เขาจะได้มาลงทุนลงแรงนะ หลวงตาเวลาท่านพูด ดูสิ เขาอยู่กระต๊อบห้องหอ ได้ ๕ ได้ ๑๐ ขึ้นมา เช้าขึ้นมา มาใส่บาตร เวลาใส่บาตรเขาต้องเอาของดีที่สุดของเขามาใส่

ไอ้พระไปบิณฑบาต เวลาบิณบาตนะ พระอยู่ตึกอยู่ร้าน เครื่องยนต์กลไกเต็มวัด แล้วก็ไปบิณฑบาตกับห้องหอ ไปบิณฑบาตเขามา แล้วมาถึงวัดดูความอยู่ของพระ อยู่โดยตึกโดยร้าน เครื่องยนต์กลไกเต็มวัด ไม่เห็นใจเขาเลย

ท่านพูดแล้ว แหม! สะเทือนใจมาก ท่านก็รับไม่ได้ ใครก็รับไม่ได้ ถ้ารับไม่ได้

สิ่งที่ว่า ถ้าเจตนามันดีงามมันเป็นความดีงามทั้งสิ้น ความดี ทุกคนต้องการความดีใช่ไหม พระบวชมาแล้วพระก็ต้องการทำคุณงามความดี โยมมาก็อยากได้บุญได้กุศลเพื่อหัวใจของเราให้มันมีสติปัญญาขึ้นมา นี่ปฏิคาหก แล้วมันสมบูรณ์แบบในตัวของมันอยู่แล้ว

แล้วทำบุญอะไรจะได้ประโยชน์

แหม! จะอย่างนั้นๆ

ไอ้นั่นมันวัฒนธรรม วัดกูดีกว่าวัดมึง ทำบุญกับกูมากกว่าทำบุญกับมึง

โอ้โฮ! ทิ้งเหวดีกว่า ไม่ต้องยุ่งกับใครเลย

ไอ้นี่พูดถึงว่าทำบุญทิ้งเหวนะ

ฉะนั้น เขาบอกว่า เวลาพอมันผุดขึ้นมาแล้วเขาก็คิดของเขา ความดีคือความดี ขนาดความดีของเขา เขาบอกว่า ถ้ามันจะตักบาตร ต้อง จะทำอะไรก็ต้องๆ คือต้องบังคับทั้งหมดเลย แล้วจะทิ้งเหวได้อย่างไร ขนาดจะทำยังต้องเข็นเต็มที่เลย แล้วทำความดีแล้วจะมาทิ้งเหวอีก มันก็เลยทำไม่ได้

แต่เราทำอย่างนี้จนเป็นนิสัยนะ มันไม่ให้กิเลสมันหลอก คนเราตั้งใจความดีทั้งสิ้น เวลากิเลสมันหลอกก็เหมือนผู้ที่ภาวนาที่จะไปวัดนี่ไง “ไปคราวนี้ต้องสงบแน่ๆ เลย” เห็นไหม มันหลอกตั้งแต่ต้น

นี่ก็เหมือนกัน “ไปวัดคราวนี้นะ กูจะใส่บาตร หลวงพ่อต้องยิ้มให้กูก่อน หลวงพ่อต้องชมกูนะ แหม! โยม แหม! โยมใส่บาตรมันจะได้บุญเยอะนะ ถ้าหลวงพ่อไม่พูดนะ กูไม่ใส่ กูกลับบ้านเลย กูไม่ให้หลวงพ่อกินด้วย”

พอมันตั้งแง่แล้วมันไม่ได้อะไรหรอก

แต่ถ้ามันทิ้งเหวนะ มึงไม่ต้องสนใจเลย ไม่ต้องใส่ก็ได้ ฝากคนอื่นใส่

หลวงตานิสัยท่านเด็ดขาด แล้วมันมีอยู่ ชาวมหาชัยนี่แหละส่งพวกกุ้งหอยปูปลาเข้าไปที่ครัวบ้านตาด ส่งไปหลายปีนะ สุดท้ายแล้วเวลาท่านมากรุงเทพฯ ท่านไปเยี่ยมถึงบ้านเลย ท่านอยากเห็นว่าไอ้นี่มันใครวะ

ส่งพวกปลา พวกอะไรไปที่ครัวบ้านตาดสมัยก่อนนู้นน่ะ ส่งไปเรื่อย นี่เขาทำความดีทิ้งเหวไง เขาส่งมาโดยเขาไม่ได้แสดงตัวอะไรเลย

เวลาหลวงตาท่านลงมากรุงเทพฯ นะ ท่านพูดเอง ท่านเล่าให้เราฟัง ท่านบอก ไปบ้านเขาเลย นี่เพราะน้ำใจของเขาไง ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนั้น นี่พูดถึงว่าความเป็นจริงนะ

ทีนี้เขาบอกว่า ถ้า “ทำดีทิ้งเหว” มันเกิดขึ้นมา เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ยาก สิ่งต่างๆ

แต่มันเป็นวัคซีนนะ ทำดีทิ้งเหวเป็นวัคซีนป้องกันกิเลสเลย อย่าให้กิเลสมันยั้วเยี้ยๆ ทำอะไรก็แล้วแต่ตามสิทธิของเรา มันจะขี่เราทั้งนั้นน่ะ ถ้าทำบุญทิ้งเหวนี่วัคซีนป้องกันไม่ให้กิเลสมันยั้วเยี้ยๆ ในใจของเรา

ถ้ามันยั้วเยี้ยๆ แล้วนะ มันว่า ทำนู่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ ทำนู่นคนเขายังไม่ชมเราเลย ทำนี้ก็อย่างนี้ นี่มันยั้วเยี้ยไง ถ้าทิ้งเหวแล้วนะ วัคซีนป้องกันไม่ให้กิเลสมันมาตอด ไม่ให้กิเลสมันมากัดหัวใจเรา นี่มันยอดเยี่ยมทั้งนั้นน่ะ แต่มันต้องฝึกหัดๆ ฝึกหัดจนมันเป็นจริงขึ้นไป

ทีนี้คำถามนะ ข้อ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. มันก็เป็นสติปัญญาของเขา แล้วสติปัญญาของเขา ปัญญานะ เราจะบอกว่ามันหยาบๆ แล้วมันจะมีปัญญาอย่างกลาง แล้วมีปัญญาอย่างละเอียด มันจะมีปัญญามากขึ้นไปกว่านี้

แล้วถ้ามันมีปัญญามากขึ้นไปกว่านี้นะ เราจะบอกว่า พยายามฝึกหัด อกาลิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้าจิตใจมันดีงามแล้วน่ะ เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม

เราจะบอกว่า ไม่ต้องเขียนมาหรอก ให้มันฝึกหัดใช้ปัญญามากขึ้นๆ

ถ้าเขียนมา สิ่งที่เขียนมานี่เราเห็นด้วย เห็นด้วยกับสิ่งที่ว่า พุทโธ ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธให้มันเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริง อย่าไปจินตนาการแล้วคิดเอาเอง

ก่อนหน้านั้นมา ๕ ปี ๖ ปีคิดเอาเอง จินตนาการเอาเอง แล้วก็ไปเทียบเคียงกับตำราในพระไตรปิฎก “เหมือนกันเลยๆ เราคิดเก่ง เราคิดเหมือนพระพุทธเจ้า มันยอดเยี่ยม”...ไร้สาระ

มันเป็นเรื่องธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อจินไตย ๔ พุทธวิสัย ปัญญาพระพุทธเจ้านี่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แล้วเราก็คิดภาษาเรา คิดเปรียบเทียบเฉยๆ

แต่ถ้ามาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลามันเกิดปัญญามันเป็นปัญญาของเรา ปัจจัตตัง เกิดเฉพาะตน สันทิฏฐิโก รู้แจ้งในตน ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน สันทิฏฐิโก เวลามันเกิดขึ้นมา ปัญญาอย่างนี้ต่างหาก พระพุทธเจ้าปรารถนาอย่างนี้

เวลาพระพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์ไง ตอนที่จะนิพพาน มีคนมาบูชาท่านเต็มไปหมดน่ะ ท่านบอกพระอานนท์นะ “อานนท์ เธอบอกเขาเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย ปฏิบัติบูชาเราเถิด”

เพราะการปฏิบัติบูชาเวลามันเกิดผลที่หัวใจมันจะเป็นสัจจะ ผลที่เกิดขึ้นจากหัวใจ ที่ไปเอาใจเขาๆ นี่สันทิฏฐิโก เกิดขึ้นจากใจของเขา

พระพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ขนสัตว์ตรงนี้ ขนสัตว์คือขนหัวใจของคน ไม่ใช่ไปขนทรัพย์สมบัติ ขนหัวใจของคน

ฉะนั้น ให้ปฏิบัติไปเนาะ เพราะเขียนมาติดพันมา ๓ รอบ

ให้ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติบูชา แล้วความคิดความเห็นถ้ามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นโลกตุตรธรรม โลกุตตรธรรมคือธรรมเหนือโลก

ขนาดผู้เขียนยังบอกเลยนะ ขนาดจะทำความดียังต้องๆๆๆ แล้วทำความดีทิ้งเหวนี่ แหม! มันยากเหลือเกิน

อย่างที่ว่านี่ มันเป็นวัคซีนป้องกันไม่ให้กิเลสมันเห่อเหิมทะเยอทะยานบนหัวใจนะ ภวาสวะคือภพ คือหัวใจ ภวาสวะมันมีอวิชชาสถิตอยู่บนหัวใจของเรา ภวาสวะเป็นที่สถิตของมาร มารมันอยู่กลางหัวใจนี้ แล้วเราคิดอะไรก็แล้วแต่ มารเอาไปกินหมดน่ะ แล้วเราทำความดีทิ้งเหวๆ เราก็ปกป้องดูแลรักษาของเรา เราต้องชนะมาร แต่กว่าจะชนะมารน่ะ คางเหลือง แต่คางเหลืองก็ทำ

งานอะไรไม่ยากเท่าเอาชนะตัวเองหรอก การปฏิบัติบูชาคือการชนะตน แล้วไม่ชนะธรรมดานะ การชนะตนแล้วยังต้องฆ่ากิเลสอีก

เวลาฆ่ากิเลส เห็นไหม หลวงตาเวลาท่านปฏิบัติเต็มที่ของท่าน ท่านบอก “ถ้าไม่เราตาย ก็ต้องกิเลสตาย เอาตายเท่านั้นเข้าแลก”

ปฏิบัติด้วยการทุ่มเท มีตายกับกิเลสตายเท่านั้น ถ้ากิเลสอยู่ เราต้องตาย เราต้องตาย สู้ด้วยกำลังเลย สู้ด้วยสุดความสามารถ ถ้ากิเลสอยู่ เราต้องตาย เอาตายแลก

แล้วสุดท้ายท่านพูดเอง ท่านเทศน์บ่อยในเทปนั่นแหละ “สุดท้ายแล้วกิเลสตาย” ท่านพูดเอง “สุดท้ายแล้วกิเลสตาย”

ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของพวกเรา พ่อแม่ครูจารย์พระมหาบัว เอวัง